SLE

SLE (Systemic Lupus Erythematosus)

SLE หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง เป็นความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่ก่อให้เกิดการอักเสบและทำลายเซลล์ในร่างกายหรืออวัยวะต่างๆ ซึ่งสามารถเกิดได้ทุกส่วนของร่างกาย

สาเหตุ

สาเหตุของการเกิดโรคยังไม่ทราบแน่ชัด อาจเกิดจาก พันธุกรรม สภาพแวดล้อม ฮอร์โมนเพศหญิง (ฮอร์โมนเอสโตรเจน) การใช้ยาบางชนิด หรือเชื้อไวรัส

อาการของโรค

1. กลุ่มอาการแสดงเฉพาะระบบผิวหนัง

โดยปกติ 80% ของโรคมักมีอาการแสดงที่ผิวหนัง เช่น ผื่นแดงตามผิวหนัง มีลักษณะเป็นผื่นกลมแดงมีสะเก็ต ขอบเขตชัดเจน หนานูนเล็กน้อย มักขึ้นตามใบหน้า ใบหู ตามตัวหรือกระจายทั่วตัว บางรายผื่นมีลักษณะเป็นก้อนนูนหนา เมื่อหายผิวหนังจะบุ๋มลึก หรือหากเกิดขึ้นบริเวณศีรษะ มักก่อให้เกิดผมร่วงเป็นหย่อม หรือเรียกว่า DLE (Discoid Lupus Erythematosus)

2. กลุ่มอาการแสดงครบ 4 อย่างใน 11 ข้อ ต่อไปนี้
2.1. อาการผื่นแดงบนใบหน้า ตัว แขน ขาหรือทั้งตัว (Malar rash)
2.2. อาการผื่นแดงนูนหนา ขอบเขตชัดเจน มีสะเก็ดสีขาวหนา (Discold rash)
2.3. ผื่นแดงเนื่องจากแพ้แสงแดด (Photosensitivity)
2.4. แผลในปาก มักเกิดบริเวณเพดานปาก (Oral ulcers)
2.5. ข้อบวม ปวดข้อ (Non-erosive arthritis)

2.6. เยื่อหุ้มปอดหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (Pleuritis or pericarditis)
2.7. ความผิดปกติทางไต ไตอักเสบ (Renal disorder)
2.8. อาการทางระบบประสาท มีอาการชักหรือมีอาการทางจิตเวช (Neurologic disorder) 2.9. ความผิดปกติของระบบโลหิต อาการซีด ตรวจพบเม็ดเลือดขาวต่ำ หรือเกล็ดเลือดต่ำ (Hematologic disorder)
2.10. ตรวจพบความผิดปกติ Antibody เช่น Anti-dsDNA หรือ Anti-Sm หรือตรวจพบ Antiphospholipid antibody (Immunologic disorder)
2.11. ตรวจพบ Antinuclear antibody (Positive antinuclear antibody)

3. ไม่พบอาการแสดงทั้ง 2 กลุ่ม แต่ตรวจพบจากทางห้องปฏิบัติการ หรือ อิมมูโนพยาธิวิทยา (Immunohistochemistry)

การรักษา

การรักษาขึ้นกับอาการแสดงของแต่ละบุคคลและความรุนแรงของโรค ทั้งนี้แพทย์จะวินิจฉัยตามความเหมาะสม

ข้อควรปฏิบัติ

  1. ควรรับประทานยาตามแพทย์สั่งและรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ไม่ควรหยุด เพิ่มหรือลดขนาดยาเอง
  2. ควรสังเกตอาการผิดปกติของร่างกายอยู่สม่ำเสมอ
  3. แสงแดดเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดผื่นเพิ่มมากขึ้น ควรทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ
  4. การรับประทานยาคุม หรือฉีดยาคุมกำเนิด อาจทำให้โรคกำเริบได้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยา
  5. วางแผนครอบครัวกับแพทย์ผู้รักษาก่อนตั้งครรภ์
  6. พักผ่อนให้เพียงพอ
เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล